งาแดงพันธุ์ใหม่ ปลูกขายได้ราคาดี

งาแดงพันธุ์ใหม่ พืชน่าสนใจ เป็นทางเลือกที่ดีของเกษตรกร ปกติคงรู้จักงาเพียงแค่ 2 ชนิด คือ งาขาว และงาดำ แต่ยังมีงาอันอุดมไปด้วยคุณประโยชน์อีกชนิดหนึ่ง คือ งาแดง ซึ่งความจริงเกษตรกรในบ้านเรานิยมปลูกงาแดงถึงร้อยละ 80 เนื่องจากทนต่อความแปรปรวนต่อสภาพอากาศได้ดีกว่าชนิดอื่น ทั้งยังให้ผลผลิตสูง ปลูกงาแดงขายจึงเป็นอีกอาชีพทำเงินที่น่าสนใจ

งาแดง เป็นงาที่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันค่อนข้างมาก โดยผ่านกระบวนการเอาเปลือกหุ้มเมล็ดออกทำเป็นงาขัด เพื่อให้เมล็ดเป็นสีขาวทดแทนงาขาวที่มีผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ ซึ่งถือเป็นพืชที่มีศักยภาพด้านการตลาด ปัจจุบันนักวิจัย กรมวิชาการเกษตร คัดเลือกเมล็ดพันธุ์และปรับปรุงจนได้ งาแดงพันธุ์ใหม่ ที่มีความโดดเด่น ทางด้าน การให้ผลผลิต ที่สำคัญยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง (antioxidants) ในการต้านมะเร็ง ในชื่อ “งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2” เป็นทางเลือกใหม่สำหรับเกษตรกรที่จะนำไปปลูกเพื่อสร้างอาชีพและสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น

งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 งาแดงพันธุ์ใหม่นี้ได้จากการคัดเลือกสายพันธุ์บริสุทธิ์ของ สายพันธุ์ A 30-15 ซึ่งรับมาจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติหรือเอฟเอโอ (FAO) โดยทางศูนย์วิจัยพืชไร่จังหวัดอุบลราชธานีของเรา นำมาปลูกคัดเลือกสายพันธุ์บริสุทธิ์ จนได้งาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 (เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา) โดยมีลักษณะเด่น ให้ผลผลิตสูงเฉลี่ย 134 กิโลกรัมต่อไร่ นอกจากนี้ ยังมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงถึง 10,451 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม จึงมีการนำงาไปใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพและใช้ในการป้องกันและรักษาโรค โดยมีรายงานวิจัยระบุว่า การบริโภคเมล็ดและน้ำมันงาจะช่วยชะลอความแก่ ลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ลดความดันโลหิต ช่วยลดอัตราการเต้นและบีบตัวของหัวใจ ทั้งยังช่วยลดปฏิกิริยาทางเคมีที่จะชักนำให้เกิดโรคมะเร็ง และลดการเสื่อมสภาพของสมองด้วย

ขั้นตอนการเพาะปลูกงาแดง

วิธีการปลูกก็เหมือนกับการปลูกงาทั่วไปเลย แต่ตอนช่วงเตรียมดินจะมีการไถพรวน 2 รอบ เพื่อให้ดินร่วนมากขึ้นเข้ากับเมล็ดงาที่มีขนาดเล็ก โดยปลูกให้ห่างกัน 50 เซนติเมตรต่อแถว (ใช้เมล็ดงา 1 กิโลกรัมต่อไร่) จะทำการกำจัดวัชพืชและจัดต้นกล้าไม่ให้แออัด เมื่อต้นกล้ามีอายุ 15-20 วัน แล้วจึงดายหญ้าและใส่ปุ๋ยหลังจาก 20 วัน ซึ่งฤดูที่เหมาะแก่การเพาะปลูกคือ ต้นฝน (เดือนเมษายน) ปลายฝน (เดือนสิงหาคม) และฤดูแล้ง

งาแดงพันธุ์ใหม่ การซื้อขาย-ราคา
การซื้อขายจะมีพ่อค้าท้องถิ่นมารับงาจากเกษตรกร หรือเรียกว่าพ่อค้าคนกลาง ก่อนส่งเข้ากรุงเทพฯ ตอนนี้ราคาของงาขาวจะอยู่ที่ 35 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนงาดำ 40 บาทต่อกิโลกรัม และ งาแดง 50 บาทต่อกิโลกรัม

ประโยชน์ของเมล็ดงา คือมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีโปรตีน ประมาณ 21-27% ทั้งยังมีน้ำมันที่มีคุณภาพดีและมีธาตุอาหารเกือบครบถ้วน อาทิ ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมงกานีส และแมกนีเซียม นอกจากนี้ยังมี สารต้านอนุมูลอิสระ จึงมีการนำงาไปใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพและใช้ในการป้องกันและรักษาโรค โดยมีรายงานวิจัยระบุว่า การบริโภคเมล็ดและน้ำมันงาจะช่วยชะลอความแก่ ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความดันโลหิต ช่วยลดอัตราการเต้นและบีบตัวของหัวใจ ทั้งยังช่วยลดปฏิกิริยาทางเคมีที่จะชักนำให้เกิดโรคมะเร็งและลดการเสื่อมสภาพของสมองด้วย เมื่องามีประโยชน์มากขนาดนี้แล้วเชื่อแน่ว่ายังคงต้องเป็นที่ต้องการของตลาดในอนาคต เพราะผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพกำลังเติบโตขึ้น จากการที่สังคมบ้านเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านที่พัฒนาแล้วก็กำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้คนรุ่นใหม่ยังหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารเสริมและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ งาแดงก็น่าจะเติบโตตามอุตสาหกรรมนี้เช่นกัน นับว่าเป็นทางเลือกของอาชีพเกษตรที่ดีมีอนาคต

สำหรับท่านที่สนใจในการปลูกงาแดงพันธุ์อุบลราชธานี 84-2 ขอทราบรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โทร.04-5202-187

ขอบคุณ www.facebook.com/agriculturemag, dailynews.co.th

Related Posts

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *