หลายต่อหลายคนคงจะมีความใฝ่ฝันสร้างธุรกิจของตัวเองให้เติบโต เนเจอร์กิฟ เป็นอีกตัวอย่างความสำเร็จของธุรกิจที่เริ่มต้นจากธุรกิจครอบครัว ที่อาศัยโรงจอดรถที่บ้านเป็นโรงงาน แรงงานก็เริ่มจากคนในบ้าน จนเติบโตเป็นที่รู้จักในแบรนด์กาแฟควบคุมน้ำหนัก เนอเจอร์กิฟ จนในปี 2547 จนก่อสร้างโรงงานมูลค่า 700 ล้านบาท ในอีก 6 ปีต่อมา ซึงนับว่าเป็นตัวอย่างการศึกษาที่น่าสนใจและเป็นแบบอย่างของการเริ่มต้นธุรกิจจากที่บ้านได้เป็นอย่างดี
ข่าวล่าสุดจากเว็บข่าวชั้นนำด้านธุรกิจ ประชาชาติธุรกิจ ได้นำเสนอเกี่ยวกับธุรกิจของเนเจอร์กิฟไว้น่าสนใจมากๆ ทีมงานบางกอกทูเดย์จึงได้นำมาเสนอให้กับแฟนๆบางกอกทูเดย์ได้อ่านติดตาม ความเคลื่อนไหวของธุรกิจกาแฟควบคุมน้ำหนักนี้ด้วย
“1 ทศวรรษ “เนเจอร์กิฟ” เปิดเกมใหม่-ปรุงสูตรมัดใจชาย” 10 ปีบนเส้นทางเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ในเซ็กเมนต์ “กาแฟควบคุมน้ำหนัก” ที่เนเจอร์กิฟเป็นผู้บุกเบิกมาตั้งแต่ปี 2547 จากจุดเริ่มต้นที่ผลิตสินค้าจากโรงจอดรถที่บ้านย่านตลิ่งชัน
ในปี 2547 จนก่อสร้างโรงงานมูลค่า 700 ล้านบาท ในอีก 6 ปีต่อมา จากธุรกิจที่ขยายใหญ่โตมากขึ้น พร้อม ๆ กับแบรนด์ที่ติดตลาด เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บริโภคชาวไทยอย่างแพร่หลาย
จนถึงปัจจุบัน “เนเจอร์กิฟ” ก้าวสู่การครบรอบ 1 ทศวรรษ ที่มาพร้อมกับการเปิด “เกมใหม่” เดินหน้ากลยุทธ์ “เซ็กเมนเตชั่น”
ส่งสูตรใหม่เพื่อขยายฐาน “ผู้ชาย” ที่ยังเป็นช่องว่างตลาด และมีโอกาสอีกมหาศาล ผู้ก่อตั้งและบุกเบิกตลาด “ดร.กฤษฎา จ่างใจมนต์” ประธานกรรมการบริหาร หจก.เนเจอร์กิฟ 711 กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในโอกาสครบรอบ 10 ปี เป็นโอกาสในการแตกไลน์สินค้าในกลุ่มพรีเมี่ยม
กาแฟเพื่อสุขภาพและควบคุมน้ำหนักที่เจาะกลุ่มผู้ชายโดยเฉพาะ ภายใต้ชื่อ “เอ็กซ์ตร้าคอฟฟี่ คิวเทน พลัส” (Extra Coffee Q10 Plus) ที่เน้นรสชาติเอสเพรสโซ่เหมาะกับคอกาแฟรสเข้ม
“ถือเป็นสูตรที่ดีที่สุดของเนเจอร์กิฟ เตรียมเปิดตัวออกมาในช่วงกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมนี้ คาดว่าถ้าสามารถเปิดเซ็กเมนต์ผู้ชายได้ ก็จะทำให้ตลาดกาแฟควบคุมน้ำหนักปีนี้โตขึ้นอย่างน้อย 10% โดยคาดหวังยอดขายปีแรก 300-400 ล้านบาท”
“ดร.กฤษฎา” ขยายความว่า ปัจจุบันสินค้าของเนเจอร์กิฟ ผู้หญิงจะนิยมดื่มมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากปกติคนจะเข้าใจว่าเนเจอร์กิฟเป็นสินค้าสำหรับผู้หญิง ดังนั้นสินค้าตัวใหม่นี้จึงทำให้ชัดเจนขึ้นสำหรับกลุ่มผู้ชาย ออกมาเป็นรสชาติเข้มข้น พร้อมวิตามินเกลือแร่ 20 ชนิด เพื่อจะตอบสนองความต้องการของผู้ชายที่ต้องการพลังมากกว่า
บิ๊กบอสเนเจอร์กิฟกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมากาแฟ “คอฟฟี่ พลัส” ที่เป็นออริจินอลยังเป็นสินค้าเรือธงของเนเจอร์กิฟ และครองความเป็นเบอร์ 1ในตลาด ที่ผ่านมาบริษัทก็พยายามแตกไลน์
ผลิตภัณฑ์มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ให้เข้าถึงได้ทุกกลุ่มอาทิ กาแฟคอลลาเจน ที่เพิ่มเรื่องการดูแลผิวพรรณ หรือ “คอฟฟี่ 21” ที่เพิ่มจุดขาย “แอล-คาร์นิทีน” ที่เริ่มสื่อสารไปยังกลุ่มผู้ชายได้มากขึ้น
“กลุ่มผู้ชายที่ยังเป็นช่องว่าง หลังจากที่คอฟฟี่ 21 เปิดตัวเมื่อปี 2553 สามารถเจาะตลาดผู้ชายได้เพิ่มมากขึ้น แต่ตัวนี้จะเจาะจงขึ้น นอกจากคุมรูปร่าง ยังชูเรื่องความสดชื่นเหมาะกับผู้ชายที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย เล่นกีฬา ถือเป็นจุดขายที่แตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นๆ ในท้องตลาด”
อนาคตบริษัทยังคงเดินหน้าเจาะเซ็กเมนต์ใหม่ ๆ ที่แยกย่อยลงไปเจาะผู้บริโภคในกลุ่มต่าง ๆ ที่ยังเป็นช่องว่างตลาด เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท
อีกภารกิจที่บริษัทกำลังเดินหน้าอย่างเข้มข้นก็คือ การปรับแบรนด์ โพซิชันนิ่งของ “เนเจอร์กิฟ” ที่ไม่เพียงแค่สินค้าสำหรับควบคุมน้ำหนักเท่านั้น แต่ขยายจุดยืนของแบรนด์ให้กว้างขึ้นสู่การเป็นสินค้า “เพื่อสุขภาพ” เพื่อปูทางสู่การเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ในอนาคต ที่ไม่จำกัดตัวเองแค่เรื่อง “น้ำหนัก” เท่านั้น
เอกลักษณ์อีกสิ่งหนึ่งที่แบรนด์อันดับ 1 รายนี้ยังคงทำอย่างเข้มข้นคือ การใช้งบฯสื่อสารการตลาด “ดร.กฤษฎา” ชี้ว่า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และการเมืองที่ยังไม่นิ่ง บริษัทยังเดินหน้าทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง และดำเนินตามแผนที่วางไว้ โดยงบฯตลาดปี 2557 ยังคงวางไว้ที่ 300-400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2553 เน้นน้ำหนักไปที่สื่ออะโบฟเดอะไลน์ 80% บีโลว์เดอะไลน์ 20% และเฉพาะ “เอ็กซ์ตร้า คอฟฟี่ คิวเทน พลัส” ใช้งบฯการตลาดถึง 100 ล้านบาทในปีนี้
ทั้งหมดมาจากนโยบายของบริษัทที่ยึดหลัก Consistency ด้วยความเชื่อที่ว่าการจะสร้างแบรนด์ให้เป็น “ท็อปออฟมายด์” ของผู้บริโภคได้ ต้องมีการทำตลาดอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
“ธุรกิจเรามันเป็นสิ่งที่น่าท้าทายเพราะมีคู่แข่งเกิดใหม่เข้ามาเรื่อย ๆ ทุกปีก็จะมีหน้าใหม่เข้ามาแล้วก็หายไป เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ก็ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นดีเนเจอร์กิฟเริ่มผลิตขายมาตั้งแต่มกราคม 2547 เริ่มมีคู่แข่งตั้งแต่ปี 2549 เป็นคู่แข่งรายเล็ก พอมาปี 2552 ก็เริ่มมีคู่แข่งรายใหญ่
ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเราเจอของจริงแล้วล่ะ แต่พอผ่านมาปี 2555-2556 เขาก็แผ่วลง เราก็เลยนำเขาไปเยอะ”
“วิชุดา จ่างใจมนต์” ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด ห้างหุ้นส่วนจำกัด เนเจอร์กิฟ711 ขยายความว่า ด้วยสินค้าซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มฟังก์ชั่นนอลคอฟฟี่ ดังนั้นผู้บริโภคก็จะเลือกทานจากฟังก์ชั่นเป็นหลัก เป็นไปได้ที่พอมีคู่แข่งเข้ามาก็อาจจะมีสวิตช์ไปทดลองแบรนด์อื่นบ้าง แต่สุดท้ายถ้าทดลองแล้วไม่เห็นผลก็จะกลับมาหาเนเจอร์กิฟ ทำให้เกิด “ลอยัลตี้” หรือความจงรักภักดีกับแบรนด์มากขึ้น
“เขาก็จะเริ่มรู้สึกมั่นใจว่า เนเจอร์กิฟทานแล้วเห็นผล แล้วเขาจะเปลี่ยนไปแบรนด์อื่นเพื่ออะไร เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เรายังคงเป็นเบอร์หนึ่งมาตลอด”
เธอชี้ว่า ปัจจุบันตลาดกาแฟควบคุมน้ำหนักมีมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท เนเจอร์กิฟครองมาร์เก็ตแชร์อยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง ที่เหลือมีอีกกว่า 200 แบรนด์ในตลาด ซึ่งปัจจุบันน่าจะเหลือครึ่งหนึ่ง หรือกว่า 100 แบรนด์ หากนับเฉพาะแบรนด์หลักๆ ที่อยู่ในค้าปลีก โมเดิร์นเทรดก็กว่า 10 แบรนด์เท่านั้น
“วันนี้การแข่งขันลดลง เหลือแค่ตัวจริงในตลาด เท่ากับว่าตอนนี้เราแข่งขันกับตัวเอง
ดร.กฤษฎาจะบอกเสมอว่า เราทำตัวเองให้ดีที่สุด ทำให้ตลาดโตขึ้นให้ได้”
จากข่าวนี้เชื่อแน่การแข่งขันของธุรกิจกาแฟต้องดุเดือดมากขึ้น แต่ก็จะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคที่จะได้มีตัวเลือกในการเลือกใช้สินค้าคุณภาพดี นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างความสำเร็จของธุรกิจที่เริ่มจากที่บ้านของตัวเองจนเติบโตเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจได้
ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์